หลักสูตรท้องถิ่น
ภูมิหลัง
การจักสานเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนที่สำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิตตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
การจักสานเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นภูมิปัญญาอันเฉลียวฉลาดของคนในท้องถิ่น
ที่ใช้ภูมิปัญญาสามารถนำสิ่งที่มีอยู่ในชุมชนมาประยุกต์ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน
ซึ่งมีประโยชน์ในการดำรงชีวิต การจักสานมีมานานแล้ว และได้มีการพัฒนามาตลอดเวลาโดยอาศัยการถ่ายทอดความรู้จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง
การดำรงชีวิตประจำวันของชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้เอาการรู้หนังสือมาเกี่ยวข้อง
การเรียนรู้ต่างๆ อาศัยวิธีการฝึกหัดและบอกเล่าซึ่งไม่เป็นระบบในการบันทึก
สะท้อนให้เห็นการเรียนรู้
ความรู้ที่สะสมที่สืบทอดกันมาจากอดีตมาถึงปัจจุบันหรือที่เรียกกันว่า “ภูมิปัญญาท้องถิ่น”
ดังนั้นกระบวนถ่ายทอดความรู้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ทำภูมิปัญญาท้องถิ่นนั้นคงอยู่ต่อเนื่องและยั่งยืน
การจักสานตะกร้าไม้ไผ่ ได้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุนสู่รุ่น
เกิดจากความคิดในการนำเอาไม้ไผ่ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีอยู่ในหมูบ้าน
นำมาแปรรูปเป็นตะกร้า โดยมี
คุณตาสนิท แพนสิงห์ เป็นผู้จักสาน
ประวัติบ้านนาบั่ว
บ้านนาบั่ว ตั้งขึ้นเมื่อปี
พ.ศ. 2434 ประชากรได้อพยพมาจากบ้านโพนสาวเอ้
เป็นส่วนใหญ่ประมาณ 90 % และมาจากบ้านโนนสังข์
10 % ของประชากรที่ก่อตั้งหมู่บ้าน โดยก่อตั้งครั้งแรกที่โนนหนองบัว
ปัจจุบันอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่บ้าน (หนองแวง ) โดยการนำของ นายจันทร์สอน
จิตมาตย์ ซึ่งมีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันถึง 9 คน น้องคนที่ 2
มีบุตรมากถึง 10 คน
เมื่อไม่มีที่ทำกินจึงได้พาน้องขี่ม้ามาหาจับจองที่ทำกินบริเวณหนองบัวในปัจจุบัน
ในเมื่อน้องๆ มีที่ทำกินอุดมสมบูรณ์แล้ว ผู้เป็นพี่ชายคือ ปู่จันทร์สอนก็กลับไปอยู่ที่บ้านเดิม (บ้านโพนสาวเอ้)
และให้น้องคนที่ 2 คือ ปู่ชินจักร จิตมาตย์
ก่อตั้งบ้านอยู่ที่หนองบัว อีกปีต่อมาน้องทั้ง 6
คน ก็ติดตามมาอยู่ด้วย จึงได้แบ่งปันที่ทำกินและที่อยู่อาศัยให้
และนอกจากนั้นยังมี นายไกรบุตร ราชสินธ์
นางลุน นางทุมมี นางอ่อนสี เป็นต้นได้ย้ายมาอยู่ด้วย
จนได้เป็นหมู่บ้านนาบัว ในปัจจุบัน
ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2445 ได้ยกฐานะเป็นหมู่บ้านและได้มีการแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านขึ้น
เป็นคนแรก คือ นายจิตปัญญา แสนมิตร (นายเชียงมัง ) และสร้างวัด
บัวขาวขึ้นในปี พ.ศ. 2445 โดยการนำของพระเทศ
นามพลแสน งานหลักในการสร้างบ้านแปลงเมืองในขณะนั้น
คือ การพัฒนาที่ทำกินมากกว่าอย่างอื่น เช่น
การเบิกถางที่นา ทำสวน เป็นต้น ในปี พ.ศ. 2454 ผู้ใหญ่บ้านคนแรกได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา จึงได้รับการแต่ตั้งผู้ใหญ่บ้านคนที่
2 คือ นายวรรณทอง
นามพลแสน ในขณะนั้นบ้านนาบัวมีทั้งหมด
30 ครอบครัว แต่ขณะนั้นที่ตั้งหมู่บ้านถูกน้ำท่วม
จึงได้ย้ายที่ตั้งของหมู่บ้านใหม่ ซึ่งคือที่ตั้งของหมู่บ้านปัจจุบัน
ส่วนพี่น้องที่อยู่บ้านโพนสาวเอ้ และบ้านโนนสังข์ก็ได้ย้ายมาอยู่เพิ่มเรื่อย
ๆ ช่วงนี้ผู้ใหญ่วรรณทอง ได้เกษียณอายุราชการ
จึงได้แต่งตั้งผู้ใหญ่กรม แสนมิตร
ขึ้นมาแทน การสัญจรไปมากับส่วนราชการมีความยากลำบากมาก
เพราะไม่มีเส้นทางคมนาคมเหมือนในปัจจุบัน ขณะนั้นบ้านนาบัวขึ้นต่อตำบลเรณูนคร เป็นหมู่ที่ 14 ของตำบลเรณู
อำเภอธาตุพนม พาหนะในสมัยนั้นใช้เกวียนโดยใช้โคกระบือในการลาก การเดินทางไปติดต่อกับตำบลหรืออำเภอ คือ
การเดินเท้า
ในระยะเวลานั้นชาวบ้านนาบัวได้ตั้งถิ่นฐานมั่นคงแล้ว นายกรม แสนมิตร ผู้ใหญ่บ้านและผู้เฒ่าผู้แก่ คิดถึงบ้านพ่อเมืองแม่ จึงได้ปรึกษาหารือกันว่าอยากทำกองกฐินไปทอดที่บ้านเดิม เมื่อเห็นพ้องต้องกันแล้วจึงตกลงสร้างถนนเพื่อเป็นทางไปทอดถวายกฐินที่บ้านโพนสาวเอ้ ในปี พ.ศ. 2473 ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2493 ผู้ใหญ่กรม แสนมิตร ได้เกษียณอายุราชการ การเลือกตั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านสมัยนั้นเป็นการเลือกตั้งแบบเปิดเผยโดยการใช้วิธีการยกมือ เป็นการตัดสินแพ้ชนะ ผู้ใหญ่บ้านคนที่ 4 ของบ้านนาบัวคือ นายเกียรติ นามพลแสน ต่อมาในปีพ.ศ.2498 นายบุญทัน จิตมาตย์ เป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่ 5 และบ้านนาบัวได้แยกออกเป็นบ้านหนองกุงและมีนายบัวลำ ราชสินธ์ เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก
ในปี พ.ศ. 2500 มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ผู้นำรัฐบาลในสมัยนั้น คือ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลนำโดยนายภูมิ ชัยบัณฑิต เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวครั้งแรกที่บ้านหนองกุง มีการต่อสู้กันขึ้นที่เถียงนาพ่อสี ราชสินธิ์ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2504 ได้มีการจับกุมราษฎร์ในหมู่บ้าน ในข้อหาอันธพาล ได้นำไปขังลืมไว้ที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม จังหวัดอุดรธานี และย้ายนักโทษไปขังไว้ที่เรือนจำนครบาล กรุงเทพ ฯ ครั้งสุดท้ายได้นำนักโทษไปขังไว้ที่เรือนจำราชบัวขาว จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีราษฎรในหมู่บ้านนาบัวและหนองกุงถูกจับไปด้วย 9 คน ในปี พ.ศ. 2507 ราษฎรที่ถูกจับในข้อหาอันธพาลก็ถูกปล่อยตัวพ้นจากการเป็นนักโทษกลับมาสู่ภูมิลำเนาของตัวเอง ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2507 ราษฎรในหมู่บ้านถูกยิงตาย 1 คน คือ นายคุณรม ไชยราช ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ 2507 นายภูมิมา ราชสินธิ์ ผู้มีความขัดแย้งทางการเมืองกับรัฐบาล ซึ่งเป็นราษฎรบ้านหนองกุงถูกยิงเสียชีวิต ในระยะนี้ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์กับรัฐบาลรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทางรัฐบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารและอาสาสมัคร มาเคลื่อนไหวปราบปรามราษฎรที่มีความคิดขัดแย้งกับรัฐบาลในเขตบ้านนาบัวและบ้านใกล้เคียง ราษฎรในพื้นที่บ้านนาบัวได้ทยอยกันเข้าป่า เพื่อรวมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์มากขึ้น ในระยะนั้นผู้ใหญ่บ้าน คือ นายอัมลา นามพลแสน (คนที่ 6) ในวันที่ 7 สิงหาคม 2508 ทางการได้ส่งตำรวจทหารออดปราบปรามฝ่ายคอมมิวนิสต์อย่างหนัก ในพื้นที่รอยต่อสามอำเภอ คือ อำเภอธาตุพนม อำเภอเมือง อำเภอนาแก พื้นที่ระหว่างบ้านนาบัว บ้านหนองฮี บ้านดงอินำ ได้เกิดการปะทะขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย นานประมาณ 45 นาที ปรากฏว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 4 นาย ฝ่ายสมาชิกคอมมิวนิสต์เสียชีวิต 1 นาย คือ นายกองสิน จิตมาตย์ ( สหายเสถียร ) ซึ่งเรียกเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า “ วันเสียงปืนแตก ” เหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นมีความเดือนร้อนเป็นอันมาก
ในปี พ.ศ. 2509 ทางราชการยิ่งปราบปรามมากยิ่งขึ้น ผู้ใหญ่อัมลา นามพลแสน พร้อมกับราษฎรหลายคนในหมู่บ้าน ถูกจับในข้อหากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ จึงได้มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่ขึ้นมาใหม่เป็นคนที่ 7 คือ นายบุษบา แสนมิตร ทางการยิ่งเร่งการปราบปรามมากยิ่งขึ้น สั่งให้ราษฎร์ทำรั้วรอบหมู่บ้านอย่างแน่นหนาด้วยหนาม สั่งให้ชาวบ้านไปรายงานตัวก่อนออกไปทำไร่ทำนา และช่วงกลับมาบ้านอย่างเคร่งครัด ถ้าราษฎร์คนไหนฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างหนัก เช่น เตะ ตี และนำไปคุมขังที่ค่ายทหารบ้านหนองฮี และส่งไปที่ค่ายทหารกองทัพภาคที่ 2 จังหวัดมุกดาหาร ส่วนเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในหมู่บ้านที่เหลือต้องอยู่เวรยามภายในรั้วหนามของหมู่บ้าน เมื่อทางราชการเร่งมือในการปราบปรามราษฎร ราษฎรก็ยิ่งหลั่งไหลเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์มากยิ่งขึ้น เรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2520 ทางกองทัพภาคที่ 2 มีนโยบาย 66/23 ราษฎรที่เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เริ่มทยอยกลับเข้ามามอบตัวกับทางการเป็นระยะ ๆ และในสมัยนี้โดยการนำของผู้ใหญ่บุษบา แสนมิตร ได้เสนอโครงการไฟฟ้าชนบทชาวบ้านได้สมทบโครงการด้วยเสาไม้ และคอนสายไฟฟ้า หรือสมทบเงินครัวเรือนละประมาณ 170 บาท หมู่บ้านนาบัวจึงมีไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2522 ในวันที่ 7 สิงหาคม 2522 ทางราชการได้จัดงานวันเสียงปืนดับขึ้นเป็นครั้งแรก มีการฝึก ทสปช. โดยพลโทเปรม ติณสูลานนท์ มาทำพิธีปิดการฝึกอบรม ใน ปี พ.ศ. 2522 นายไสว แสนมิตร ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่ 8 การต่อสู้ระหว่างทางราชการกับกองกำลังติดอาวุธพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทยก็ลดลงมาเรื่อย ๆ
ปี พ.ศ. 2535 ได้แยกหมู่บ้านนาบัวเป็น 2 หมู่บ้าน คือ หมู่ที่ 5 กับ หมู่ที่ 13 มี นายคำสิงห์ จิตมาตย์ เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 คนแรก และผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ยังคงเป็นนายไสว แสนมิตร ใน ปีพ.ศ. 2537 บ้านนาบัวหมู่ที่ 13 แยกออกเป็นหมู่ที่ 14 อีกหนึ่งหมู่บ้าน มี นายท่อนแก้ว ราชสินธ์ เป็นผู้ใหญ่บ้าน การต่อสู้กันของพรรคคอมมิวนิสต์กับทางการเริ่มสงบลง ราษฎรที่ออกป่ากลับเข้าร่วมพัฒนาชาติไทยเกือบหมด ที่เหลือก็คงตกค้างอยู่ที่ต่างประเทศ เช่น ประเทศลาว และในปี พ.ศ. 2537 นี้ นายไสว แสนมิตร ก็เกษียณอายุราชการ นายทิพจันทร์ แสนมิตร ได้รับเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 คนที่ 9 ในช่วงนี้รัฐบาลมีการพัฒนาประชาธิปไตยมากขึ้น ราษฎร์มีสิทธิ์เสรีภาพมากขึ้น ต่อมาใน ปี พ.ศ. 2542 ผู้ใหญ่ทิพจันทร์ ได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในตับ นายลำสินธิ์ จิตมาตย์ ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 คนต่อมาเป็นคนที่ 10 ปลายปี พ.ศ. 2543 ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 นายคำสิงห์ จิตมาตย์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง นายวีระชัย จิตมาตย์ ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 คนที่ 2 ต่อมาปี พ.ศ.2547 ผู้ใหญ่ลำสินธิ์ หมดวาระลง จึงมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านใหม่ ผู้ได้รับเลือกคือ นายสุระศักดิ์ จิตมาตย์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบัน ลำดับที่ 11 ในปี พ.ศ. 2548 นายวีระชัย จิตมาตย์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 ลาออกเพื่อร่วมทีมการเมืองท้องถิ่น จึงมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ ผู้ได้รับเลือกคือ นายสาคร จิตมาตย์ เป็นผู้ใหญ่หมู่ที่ 13 คนปัจจุบัน
สำหรับบ้านนาบัวหมู่ 14 เป็นราษฎรของบ้านนาบัวหมู่ 5 และหมู่ 13 ซึ่งได้รวมเงินกันเพื่อซื้อที่ดินของ นายออนมณี ราชสินธ์ ในราคา 5,500 บาท โดยการนำของนายปราใส นครเขต ในปี พ.ศ.2510 หลังจากซื้อแล้วได้ร่วมมือกันเพื่อวางผังบ้าน โดยมีการแบ่งเป็นแปลง แต่ละแปลงมีความกว้าง 8 เมตรและตัดถนนผ่านหมู่บ้าน และรอบบ้านอีก ไม่นานนักในปี พ.ศ.2517 ก็มีราษฎรของบ้านนาบัวหมู่ 5 ออกมาตั้งบ้านเรือนในที่ดินแปลงนี้ โดยการนำของ นายครสี เหลื่อมเภา , นายท่อนแก้ว ราชสินธ์ , และนายสัมพันธ์ บัวชุม ต่อจากนั้นก็มีเพื่อนบ้านออกมาตั้งบ้านเรือนทุกปี ส่วนหนึ่งก็อยู่ตามหัวไร่ปลายนา ในปีพ.ศ.2535 บ้านนาบัวหมู่ 5ได้แยกเป็น 2 หมู่บ้าน คือหมู่ 5 และหมู่ 13 ในสมัยนายคำสิงห์ จิตมาตย์ เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 โดยมี นายท่อนแก้ว ราชสินธ์ เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน นั้น ชาวบ้านได้ทยอยกันออกมาตั้งบ้านเรือนอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากชุมชนที่อยู่ใหม่นี้ห่างจากที่อยู่เดิม (หมู่ 13 ) ประมาณ 1 กิโลเมตรเศษ เมื่อมีการประชุมในเรื่องของส่วนราชการหรือการประสานงาน มีความลำบากพอสมควรเพราะต้องเดินทางเข้าไปรับทราบ ข่าวสารในส่วนของทางราชการ ดังนั้นทางผู้นำจึงได้ปรึกษาหารือกัน เพื่อขอแยกเป็นอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งมีประมาณ 20 หลังคาเรือน ทางอำเภอก็เห็นชอบให้แบ่งแยกหมู่บ้านจึงได้อนุมัติจัดตั้งหมู่บ้านนาบัว หมู่ 14 ขึ้น ในปี พ.ศ.2537
ในระยะเวลานั้นชาวบ้านนาบัวได้ตั้งถิ่นฐานมั่นคงแล้ว นายกรม แสนมิตร ผู้ใหญ่บ้านและผู้เฒ่าผู้แก่ คิดถึงบ้านพ่อเมืองแม่ จึงได้ปรึกษาหารือกันว่าอยากทำกองกฐินไปทอดที่บ้านเดิม เมื่อเห็นพ้องต้องกันแล้วจึงตกลงสร้างถนนเพื่อเป็นทางไปทอดถวายกฐินที่บ้านโพนสาวเอ้ ในปี พ.ศ. 2473 ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2493 ผู้ใหญ่กรม แสนมิตร ได้เกษียณอายุราชการ การเลือกตั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านสมัยนั้นเป็นการเลือกตั้งแบบเปิดเผยโดยการใช้วิธีการยกมือ เป็นการตัดสินแพ้ชนะ ผู้ใหญ่บ้านคนที่ 4 ของบ้านนาบัวคือ นายเกียรติ นามพลแสน ต่อมาในปีพ.ศ.2498 นายบุญทัน จิตมาตย์ เป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่ 5 และบ้านนาบัวได้แยกออกเป็นบ้านหนองกุงและมีนายบัวลำ ราชสินธ์ เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก
ในปี พ.ศ. 2500 มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ผู้นำรัฐบาลในสมัยนั้น คือ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลนำโดยนายภูมิ ชัยบัณฑิต เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวครั้งแรกที่บ้านหนองกุง มีการต่อสู้กันขึ้นที่เถียงนาพ่อสี ราชสินธิ์ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2504 ได้มีการจับกุมราษฎร์ในหมู่บ้าน ในข้อหาอันธพาล ได้นำไปขังลืมไว้ที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม จังหวัดอุดรธานี และย้ายนักโทษไปขังไว้ที่เรือนจำนครบาล กรุงเทพ ฯ ครั้งสุดท้ายได้นำนักโทษไปขังไว้ที่เรือนจำราชบัวขาว จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีราษฎรในหมู่บ้านนาบัวและหนองกุงถูกจับไปด้วย 9 คน ในปี พ.ศ. 2507 ราษฎรที่ถูกจับในข้อหาอันธพาลก็ถูกปล่อยตัวพ้นจากการเป็นนักโทษกลับมาสู่ภูมิลำเนาของตัวเอง ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2507 ราษฎรในหมู่บ้านถูกยิงตาย 1 คน คือ นายคุณรม ไชยราช ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ 2507 นายภูมิมา ราชสินธิ์ ผู้มีความขัดแย้งทางการเมืองกับรัฐบาล ซึ่งเป็นราษฎรบ้านหนองกุงถูกยิงเสียชีวิต ในระยะนี้ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์กับรัฐบาลรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทางรัฐบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารและอาสาสมัคร มาเคลื่อนไหวปราบปรามราษฎรที่มีความคิดขัดแย้งกับรัฐบาลในเขตบ้านนาบัวและบ้านใกล้เคียง ราษฎรในพื้นที่บ้านนาบัวได้ทยอยกันเข้าป่า เพื่อรวมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์มากขึ้น ในระยะนั้นผู้ใหญ่บ้าน คือ นายอัมลา นามพลแสน (คนที่ 6) ในวันที่ 7 สิงหาคม 2508 ทางการได้ส่งตำรวจทหารออดปราบปรามฝ่ายคอมมิวนิสต์อย่างหนัก ในพื้นที่รอยต่อสามอำเภอ คือ อำเภอธาตุพนม อำเภอเมือง อำเภอนาแก พื้นที่ระหว่างบ้านนาบัว บ้านหนองฮี บ้านดงอินำ ได้เกิดการปะทะขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย นานประมาณ 45 นาที ปรากฏว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 4 นาย ฝ่ายสมาชิกคอมมิวนิสต์เสียชีวิต 1 นาย คือ นายกองสิน จิตมาตย์ ( สหายเสถียร ) ซึ่งเรียกเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า “ วันเสียงปืนแตก ” เหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นมีความเดือนร้อนเป็นอันมาก
ในปี พ.ศ. 2509 ทางราชการยิ่งปราบปรามมากยิ่งขึ้น ผู้ใหญ่อัมลา นามพลแสน พร้อมกับราษฎรหลายคนในหมู่บ้าน ถูกจับในข้อหากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ จึงได้มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่ขึ้นมาใหม่เป็นคนที่ 7 คือ นายบุษบา แสนมิตร ทางการยิ่งเร่งการปราบปรามมากยิ่งขึ้น สั่งให้ราษฎร์ทำรั้วรอบหมู่บ้านอย่างแน่นหนาด้วยหนาม สั่งให้ชาวบ้านไปรายงานตัวก่อนออกไปทำไร่ทำนา และช่วงกลับมาบ้านอย่างเคร่งครัด ถ้าราษฎร์คนไหนฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างหนัก เช่น เตะ ตี และนำไปคุมขังที่ค่ายทหารบ้านหนองฮี และส่งไปที่ค่ายทหารกองทัพภาคที่ 2 จังหวัดมุกดาหาร ส่วนเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในหมู่บ้านที่เหลือต้องอยู่เวรยามภายในรั้วหนามของหมู่บ้าน เมื่อทางราชการเร่งมือในการปราบปรามราษฎร ราษฎรก็ยิ่งหลั่งไหลเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์มากยิ่งขึ้น เรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2520 ทางกองทัพภาคที่ 2 มีนโยบาย 66/23 ราษฎรที่เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เริ่มทยอยกลับเข้ามามอบตัวกับทางการเป็นระยะ ๆ และในสมัยนี้โดยการนำของผู้ใหญ่บุษบา แสนมิตร ได้เสนอโครงการไฟฟ้าชนบทชาวบ้านได้สมทบโครงการด้วยเสาไม้ และคอนสายไฟฟ้า หรือสมทบเงินครัวเรือนละประมาณ 170 บาท หมู่บ้านนาบัวจึงมีไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2522 ในวันที่ 7 สิงหาคม 2522 ทางราชการได้จัดงานวันเสียงปืนดับขึ้นเป็นครั้งแรก มีการฝึก ทสปช. โดยพลโทเปรม ติณสูลานนท์ มาทำพิธีปิดการฝึกอบรม ใน ปี พ.ศ. 2522 นายไสว แสนมิตร ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่ 8 การต่อสู้ระหว่างทางราชการกับกองกำลังติดอาวุธพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทยก็ลดลงมาเรื่อย ๆ
ปี พ.ศ. 2535 ได้แยกหมู่บ้านนาบัวเป็น 2 หมู่บ้าน คือ หมู่ที่ 5 กับ หมู่ที่ 13 มี นายคำสิงห์ จิตมาตย์ เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 คนแรก และผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ยังคงเป็นนายไสว แสนมิตร ใน ปีพ.ศ. 2537 บ้านนาบัวหมู่ที่ 13 แยกออกเป็นหมู่ที่ 14 อีกหนึ่งหมู่บ้าน มี นายท่อนแก้ว ราชสินธ์ เป็นผู้ใหญ่บ้าน การต่อสู้กันของพรรคคอมมิวนิสต์กับทางการเริ่มสงบลง ราษฎรที่ออกป่ากลับเข้าร่วมพัฒนาชาติไทยเกือบหมด ที่เหลือก็คงตกค้างอยู่ที่ต่างประเทศ เช่น ประเทศลาว และในปี พ.ศ. 2537 นี้ นายไสว แสนมิตร ก็เกษียณอายุราชการ นายทิพจันทร์ แสนมิตร ได้รับเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 คนที่ 9 ในช่วงนี้รัฐบาลมีการพัฒนาประชาธิปไตยมากขึ้น ราษฎร์มีสิทธิ์เสรีภาพมากขึ้น ต่อมาใน ปี พ.ศ. 2542 ผู้ใหญ่ทิพจันทร์ ได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในตับ นายลำสินธิ์ จิตมาตย์ ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 คนต่อมาเป็นคนที่ 10 ปลายปี พ.ศ. 2543 ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 นายคำสิงห์ จิตมาตย์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง นายวีระชัย จิตมาตย์ ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 คนที่ 2 ต่อมาปี พ.ศ.2547 ผู้ใหญ่ลำสินธิ์ หมดวาระลง จึงมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านใหม่ ผู้ได้รับเลือกคือ นายสุระศักดิ์ จิตมาตย์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบัน ลำดับที่ 11 ในปี พ.ศ. 2548 นายวีระชัย จิตมาตย์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 ลาออกเพื่อร่วมทีมการเมืองท้องถิ่น จึงมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ ผู้ได้รับเลือกคือ นายสาคร จิตมาตย์ เป็นผู้ใหญ่หมู่ที่ 13 คนปัจจุบัน
สำหรับบ้านนาบัวหมู่ 14 เป็นราษฎรของบ้านนาบัวหมู่ 5 และหมู่ 13 ซึ่งได้รวมเงินกันเพื่อซื้อที่ดินของ นายออนมณี ราชสินธ์ ในราคา 5,500 บาท โดยการนำของนายปราใส นครเขต ในปี พ.ศ.2510 หลังจากซื้อแล้วได้ร่วมมือกันเพื่อวางผังบ้าน โดยมีการแบ่งเป็นแปลง แต่ละแปลงมีความกว้าง 8 เมตรและตัดถนนผ่านหมู่บ้าน และรอบบ้านอีก ไม่นานนักในปี พ.ศ.2517 ก็มีราษฎรของบ้านนาบัวหมู่ 5 ออกมาตั้งบ้านเรือนในที่ดินแปลงนี้ โดยการนำของ นายครสี เหลื่อมเภา , นายท่อนแก้ว ราชสินธ์ , และนายสัมพันธ์ บัวชุม ต่อจากนั้นก็มีเพื่อนบ้านออกมาตั้งบ้านเรือนทุกปี ส่วนหนึ่งก็อยู่ตามหัวไร่ปลายนา ในปีพ.ศ.2535 บ้านนาบัวหมู่ 5ได้แยกเป็น 2 หมู่บ้าน คือหมู่ 5 และหมู่ 13 ในสมัยนายคำสิงห์ จิตมาตย์ เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 โดยมี นายท่อนแก้ว ราชสินธ์ เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน นั้น ชาวบ้านได้ทยอยกันออกมาตั้งบ้านเรือนอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากชุมชนที่อยู่ใหม่นี้ห่างจากที่อยู่เดิม (หมู่ 13 ) ประมาณ 1 กิโลเมตรเศษ เมื่อมีการประชุมในเรื่องของส่วนราชการหรือการประสานงาน มีความลำบากพอสมควรเพราะต้องเดินทางเข้าไปรับทราบ ข่าวสารในส่วนของทางราชการ ดังนั้นทางผู้นำจึงได้ปรึกษาหารือกัน เพื่อขอแยกเป็นอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งมีประมาณ 20 หลังคาเรือน ทางอำเภอก็เห็นชอบให้แบ่งแยกหมู่บ้านจึงได้อนุมัติจัดตั้งหมู่บ้านนาบัว หมู่ 14 ขึ้น ในปี พ.ศ.2537
ทำเนียบผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 5
คนที่ 1 นายจิตปัญญา แสนมิตร (นายเชียงมัง ) ประมาณปี พ.ศ.2445-2454
คนที่ 2 นายวรรณทอง นามพลแสน ประมาณปี พ.ศ.2454
คนที่ 3 นายกรม แสนมิตร ประมาณปี พ.ศ.24..-2493
คนที่ 4 นายเกียรติ นามพลแสน ประมาณปี พ.ศ.2493-2498
คนที่ 5 นายบุญทัน จิตมาตย์ ประมาณปี พ.ศ.2498-2508
คนที่ 6 นายอัมลา นามพลแสน ประมาณปี พ.ศ.2508-2509
คนที่ 7 นายบุษบา แสนมิตร ประมาณปี พ.ศ.2509-2522
คนที่ 8 นายไสว แสนมิตร ประมาณปี พ.ศ.2522-2537
คนที่ 9 นายทิพจันทร์ แสนมิตร ประมาณปี พ.ศ.2537-2542
คนที่ 10 นายลำสินธิ์ จิตมาตย์ ประมาณปี พ.ศ.2542-2547
คนที่ 11 นายสุระศักดิ์ จิตมาตย์ ประมาณปี พ.ศ.2547-ปัจจุบัน
จุดประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า
1.
เพื่อได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการสานตะกร้าจากเส้นพลาสติก
2. เพื่อมีประสบการณ์ในการสานตะกร้าจากเส้นพลาสติก
และสามารถนำไปต่อยอดเป็นอาชีพได้
3. เพื่อสามารถใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ศึกษาค้นคว้าและให้ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของการสานตะกร้าจากเส้นพลาสติก
4.เพื่อใช้ถุงพลาสติก
เนื่องจากตะกร้าที่สานจากเส้นพลาสติกสามารถใช้ซ้ำได้มากกว่าถุงพลาสติก
อีกทั้งยังสามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย
ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้าขอบเขตในการศึกษาครั้งนี้ แบ่งเป็น 3 ด้าน ประกอบด้วย
1.ขอบเขตด้านเนื้อหา
2.ขอบเขตด้านวิธีการ
3.ขอบเขตด้านเวลา
ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1 ขอบเขตด้านเนื้อหา ศึกษาความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการสานตะกร้าจากไม้ไผ่
หาขั้นตอนการทำที่ง่ายที่สุด ศึกษาประโยชน์ของการใช้ตะกร้า
2.ขอบเขตด้านวิธีการ โดยมีรายละเอียดดังนี้
วัสดุ
อุปกรณ์
1.ไม้ไผ่
2.ตอก
3.มีดหรือพร้าจักตอก
4.เชือกไนล่อน ขนาดเล็ก
5.ค้อน
ขั้นตอนการผลิต1. จักตอกให้ได้ 2 ขนาดสำหรับการทำลายตะกร้า
2. นำตอกมาจัดเรียงเส้นตั้ง ทั้ง 11
เส้นให้ชิดกัน (ใช้ปลายเท้าหรือส้นเท้าวางทับ เพื่อไม่ให้เส้นดีด)
แล้วนำเส้นนอน มาสานขัดกับเส้นตั้ง โดยการยก 1 เว้น 1 สานสลับกันไปเรื่อยๆ จนหมดทั้ง 11 เส้น โดยแต่ล่ะเส้นเว้นระยะห่างประมาณ 0.5 ซม.
3. หลังจากสานครบ 11 เส้น (นำตอกเส้นเล็กมาสานรอบทั้ง 4 ด้าน 1 เส้น) นำไม้มาขัดเป็นรูปตัว X ที่ก้นตะกร้าเพื่อความแข็งแรงทนทาน
นำตอกเส้นเล็กมาสานโดยการยก 1 เว้น 1 สานสลับกันไปเรื่อยๆ จนได้ความสูงตามที่ต้องการ (ระหว่างที่สานไปรอบๆ
ให้หมั่นดึงเส้นสานบ่อยๆ เพื่อให้ตะกร้าแน่น)
4. จากนั้นนำไม้ (ที่สามารถดัดแล้วไม่หัก) มาครอบที่ปากตะกร้า
เพื่อเก็บขอบปาก แล้วนำเชือกไนล่อน เส้นเล็กมาร้อยให้แน่นหนา เพื่อความคงทน
5. นำไม้มาตอกที่ก้นตะกร้าทั้ง 4 มุ่ม เพื่อทำเป็นขา แล้วนำไม้ที่เหลาแล้ว 3 เส้น
มาทำเป็นหูหิ้วของตะกร้า
โดยส่วนใหญ่แล้วกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะเป็น
ประชาชนทั่วไปที่นิยม ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ จากภูมิปัญญาพื้นบ้าน โดยส่วนมากจะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ
หรือนำไปเป็นของฝากเป็นต้น
ราคาที่จัดจำหน่าย
ตะกร้าที่ทำการสานจะมี 2 ขนาดคือ
1. ขนาดเล็กราคาขายประมาณ 150 บาท
2. ขนาดใหญ่ราคาประมาณ 200 บาท
ตลาดรองรับ/ช่องทางการจัดจำหน่าย
มีพ่อค้าแม่ค้าคนกลางจากที่ต่างๆมารับซื้อถึงบ้านหรือตลาดโต้รุ่ง
บ้านนาบั่ว หมู่ที่ 1 และมีลูกค้ามาจากหมู่บ้านใกล้เคียง มารับซื้อถึงบ้าน
คนล่ะประมาณ 1-2 ใบ
ผลผลิตและยอดจำหน่ายต่อเดือน
ยอดผลิตและยอดจำหน่ายต่อเดือนนั้นจะขึ้นอยู่กับกำลังผลิตของแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับช่วงฤดูกาลจึงทำให้ข้อมูลที่ได้ไม่ค่อยแน่นอน
ประโยชน์ของตะกร้าจักสาน
และลักษณะการใช้งาน
ลดการใช้ถุงพลาสติก
เนื่องจากตะกร้าที่สานจากตอก สามารถใช้ซ้ำได้มากกว่าถุงพลาสติก
อีกทั้งยังสามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย
ระยะเวลาในการทำตะกร้าจักสานไม้ไผ่
- อย่างต่ำ 2 วัน ต่อ 1 ใบ
- อย่างมาก 1 วัน ต่อ ใบ
3. ขอบเขตด้านเวลา
ระยะเวลาการดำเนินงาน
- การศึกษานี้ดำเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561
- มอดกินไม้ที่จะไว้
- ราขึ้น
นิยามศัพท์เฉพาะ
ตะกร้าจักสานไม้ไผ่ หมายถึง ตะกร้าที่สานจากตอก (ไม้ไผ่ที่ผ่าออกเป็นเส้นบางแบนและยาวเพื่อใช้ผูกมัดหรือสานเครื่องจักสานต่างๆ
) ใช้ทดแทนถุงพลาสติก เพื่อปัญหาลดภาวะโลกร้อน
ซึ่งเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านหรือท้องถิ่น
ประโยชน์ที่ได้รับ
1.
ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการสานตะกร้าจากเส้นพลาสติก
2. มีประสบการณ์ในการสานตะกร้าจากไม้ไผ่
และสามารถนำไปต่อยอดเป็นอาชีพได้
3. สามารถใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
ศึกษาค้นคว้าและให้ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของการสานตะกร้าจากเส้นพลาสติก
4.ลดการใช้ถุงพลาสติก เนื่องจากตะกร้าที่สานจากตอก
สามารถใช้ซ้ำได้มากกว่าถุงพลาสติก อีกทั้งยังสามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย
ขอขอบคุณผู้ให้สัมภาษณ์
คุณตาสนิท
แพนสิงห์
สถานที่ทำตะกร้าจักสานไม่ไผ่
บ้านเลขที่
4
หมู่ 1 บ้านนาบั่ว ต.เรณูใต้ อ.เรณูนคร
จ.นครพนม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น