สาระเนื้อหา



สาระเนื้อหา(Content)

ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร

              ในอดีตการพัฒนาหลักสูตรในระดับต่างๆ มักใช้ข้อมูลพื้นฐานประกอบการพิจารณาค่อนข้างน้อย แต่ให้ความสำคัญกับข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงเฉพาะด้านเนื้อหาในวิชาต่างๆ นำมาบรรจุไว้ในหลักสูตรและละเลยข้อมูลทางด้านศีลธรรม จริยธรรม และสภาพทางสังคม การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และแนวโน้มสภาพสังคมในอนาคต ทำให้การศึกษาของชาติที่ผ่านมาไม่สามารถช่วยให้คนไทยหลุดพ้นจากความฟุ่มเฟือย การยึดถือค่านิยมผิดๆ ในการดำรงชีวิตที่ผิดๆ ไม่ช่วยให้การว่างงานลดลง ไม่ช่วยให้แก้ปัญหาอาชญากรรมหมดไป ประเทศยังคงมีการฉ้อราษฎร์บังหลวง ยังมีคนไทยที่พึ่งพาตนเองไม่ได้ ยังมีความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพยากร เพราะฉะนั้นในการพัฒนาหลักสูตรระดับต่างๆ ในอนาคตจะต้องศึกษาข้อมูลพื้นฐานในเรื่องต่างๆ จากหลายๆ แหล่งและจากบุคคลหลายๆ ฝ่ายเพื่อให้ได้ข้อมูลที่แท้จริงมาพัฒนาหลักสูตร สามารถพัฒนาผู้เรียนให้เจริญเติบโตทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และอารมณ์ เป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อตนเองและประเทศชาติ หรือกล่าวโดยสรุปคือสามารถใช้หลักสูตรเป็นเครื่องมือในการสร้างสังคมใหม่ในทิศทางที่ถูกต้องได้
              การพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องศึกษา วิเคราะห์ สำรวจ วิจัย สภาพพื้นฐานด้านต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างเพียงพอที่จะใช้สนับสนุน อ้างอิงในการตัดสินใจดำเนินการต่างๆ เพื่อให้ได้หลักสูตรที่ดี สามารถพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ และทัศนคติที่นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้
              การพัฒนาหลักสูตรเป็นงานที่มีขอบเขตกว้างขวางมาก การที่จัดหลักสูตรให้มีคุณภาพนั้นผู้พัฒนาหลักสูตรต้องศึกษาข้อมูลหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้เรียน ข้อมูลเกี่ยวกับสังคม หรือข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ เพื่อที่ให้ได้ข้อมูลที่สมจริงที่สุดเพราะข้อมูลเหล่านี้จะช่วยนักพัฒนาหลักสูตรในเรื่องต่างๆ คือ
              1. ช่วยให้มองเห็นภาพรวมว่า ในการจัดทำหลักสูตรนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงสิ่งใดบ้างและสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมีอิทธิพลต่อหลักสูตรอย่างไร
              2. ช่วยให้สามารถกำหนดองค์ประกอบของหลักสูตรได้อย่างเหมาะสม เช่น การกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร และการกำหนดเนื้อหารายวิชา ฯลฯ
              3. ช่วยให้สามารถกำหนดยุทธศาสตร์การเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ
              4. ช่วยเพิ่มพูนความรู้และทักษะในการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรอันจะส่งผลให้การดำเนินการในอนาคตประสบผลดียิ่งขึ้น
              ข้อมูลต่างๆ ที่นำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรนั้น นักการศึกษาทั้งต่างประเทศ และนักการศึกษาไทย ได้แสดงแนวทางไว้ดังนี้
              เซย์เลอร์ และอเล็กซานเดอร์ (Saylor and Alexander ,1974:102-103) กล่าวถึงข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรว่า
              1. ข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้เรียน
              2. ข้อมูลเกี่ยวกับสังคมซึ่งสนับสนุนโรงเรียน
              3. ข้อมูลเกี่ยวกับธรรมชาติ และลักษณะของกระบวนการเรียนรู้
              4. ความรู้ที่ได้สะสมไว้และความรู้ที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้แก่นักเรียน
              
              ทาบา (Taba, 1962: 16-87) ได้กล่าวว่า การพัฒนาหลักสูตรโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์จะต้อง คำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
              1. สังคมและวัฒนธรรม
              2. ผู้เรียนและกระบวนการเรียน
              3. ธรรมชาติของความรู้
              
             ไทเลอร์ ( Tyler, 1949:1-43) กล่าวถึงสิ่งที่ควรพิจารณาในการสร้างจุดมุ่งหมายของการศึกษา คือ
              1. ข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้เรียน ซึ่งได้แก่ ความต้องการของผู้เรียน และความสนใจของผู้เรียน
              2. ข้อมูลจากการศึกษาชีวิตภายนอกโรงเรียน
              3. ข้อมูลที่ได้จากข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ
              4. ข้อมูลทางด้านปัญญา
              5. ข้อมูลทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้
              จากการรายงานของคณะกรรมการวางพื้นฐานการปฏิรูปการศึกษา (2518:20-50) ได้กำหนดข้อมูลต่างๆ ในการกำหนดจุดมุ่งหมายทางการศึกษา และในการจัดการศึกษาของประเภทดังนี้
              1. สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
              2. สภาพแวดล้อมทางประชากร
              3. สภาพแวดล้อมทางสังคม
              4. สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ
              5. สภาพแวดล้อมทางการเมือง
              6. การปกครองและการบริหาร
              7. สภาพแวดล้อมทางศาสนาและวัฒนธรรม
              8. สภาพของสื่อมวลชนเพื่อการศึกษา
              กาญจนา คุณารักษ์ ( 2521: 23-36 ) กล่าวถึงข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรไว้ดังนี้
              1. ตัวผู้เรียน
              2. สังคมและวัฒนธรรม
              3. ธรรมชาติและคุณสมบัติของการเรียนรู้
              4. การสะสมความรู้ที่เพียงพอและเป็นไปได้เพื่อการให้การศึกษา
              ธำรง บัวศรี (2532:4) กล่าวถึงข้อมูลต่างๆ ในการพัฒนาหลักสูตรไว้ดังนี้
              1. พื้นฐานทางปรัชญา
              2. พื้นฐานทางสังคม
              3. พื้นฐานทางด้านจิตวิทยา
              4. พื้นฐานทางความรู้และวิทยาการ
              5. พื้นที่ทางเทคโนโลยี
              6. พื้นฐานทางประวัติศาสตร์
              สงัด อุทรานันท์ (2532 : 46) กล่าวถึงพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรไว้ดังนี้
              1. พื้นฐานทางปรัชญา
              2. ข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรม
              3. พื้นฐานเกี่ยวกับพัฒนาการของผู้เรียน
              4. พื้นฐานเกี่ยวทฤษฎีการเรียนรู้
              5. ธรรมชาติของความรู้
              สุมิตร คุณานุกร (2520 : 10) กล่าวถึงข้อมูลต่างๆ ในการพัฒนาหลักสูตรจำแนกตามแหล่งที่มาได้ 6 ประการ คือ
              1. ข้อมูลทางปรัชญา
              2. ข้อมูลที่ได้จากนักวิชาการแต่ละสาขา
              3. ข้อมูลที่ได้จากจิตวิทยาการเรียนรู้
              4. ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาสังคมของผู้เรียน
              5. ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาความต้องการและความสนใจของผู้เรียน
              6. ข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการทางเทคโนโลยี
              สาโรช บัวศรี (2514 : 21-22) ได้กล่าวว่า ในการจัดการศึกษาหรือจัดหลักสูตรต้องอาศัยพื้นฐานหลัก 5 ประการ คือ
              1. พื้นฐานทางปรัชญา
              2. พื้นฐานทางจิตวิทยา
              3. พื้นฐานทางสังคม
              4. พื้นฐานทางประวัติศาสตร์
              5. พื้นฐานทางด้านเทคโนโลยี
              จะเห็นได้ว่าข้อมูลที่นำมาศึกษาเพื่อพัฒนาหลักสูตรมีมากมายหลายด้านสำหรับประเทศไทยควรจัดลำดับข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญในด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้
              1. สังคมและวัฒนธรรม
              2. เศรษฐกิจ
              3. การเมืองการปกครอง
              4. สภาพปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาในสังคม
              5. พัฒนาการทางเทคโนโลยีสภาพสังคมในอนาคต
              6. บุคคลภายนอกและนักวิชาการแต่ละสาขา
              7. โรงเรียน ชุมชน หรือสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่
              8. ประวัติศาสตร์การศึกษาและหลักสูตร
              9. ธรรมชาติของความรู้
              10. ปรัชญาการศึกษา
              11. จิตวิทยา
1. ข้อมูลพื้นฐานทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
              การศึกษาทำหน้าที่สำคัญคือ อนุรักษ์และถ่ายทอดวัฒนธรรมของสังคมไปสู่คนรุ่นหลังและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของสังคมให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ โดยหน้าที่ดังกล่าวการศึกษาจะช่วยควบคุมการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ไปในทิศทางที่พึงปรารถนา เพราะฉะนั้นหลักสูตรที่จะนำไปสอนอนุชนเหล่านั้นจึงต้องมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสังคมอย่างแยกไม่ออก และโดยธรรมชาติของสังคมและวัฒนธรรมมักมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ดังนั้น การพัฒนาหลักสูตรจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ  จึงจะทำให้หลักสูตรมีความสอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน สามารถแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการสังคมได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการวิเคราะห์ความต้องการใหม่ ผลการวิเคราะห์ออกมาอย่างไรหลักสูตรก็จะเปลี่ยนจุดหมายไปในแนวนั้น สามารถจำแนกข้อมูลให้ชัดเจนได้ดังนี้
              1.โครงสร้างของสังคม   โครงสร้างไทยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ลักษณะสังคมชนบทหรือสังคมเกษตรกรรม และสังคมเมืองหรือสังคมอุตสาหกรรม ในปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาก สังคมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นแต่ถึงอย่างไรก็ตามสังคมส่วนใหญ่ของประเทศก็ยังมีสภาพเป็นสังคมเกษตรกรรมอยู่ ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรจำเป็นจะต้องศึกษาโครงสร้างของสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และแนวโน้มโครงสร้างในอนาคตเพื่อที่จะได้ข้อมูลมาจัดหลักสูตรว่า จะจัดหลักสูตรอย่างไรเพื่อยกระดับการพัฒนาสังคมเกษตรกรรมและเตรียมพื้นฐานเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมตามความจำเป็น
              1.2   ค่านิยมในสังคม   ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่คนในสังคมเดียวกันมองเห็นว่ามีคุณค่าเป็นที่ยอมรับหรือเป็นที่ปรารถนาของคนทั่วไปในสังคมนั้นๆ เนื่องจากการศึกษาเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม ค่านิยมชนิดไหนที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงดำรงไว้หรือค่านิยมชนิดไหนควรสร้างขึ้นมาใหม่ เช่น ค่านิยมของสังคมไทยเกี่ยวกับความเฉื่อยชา การถือความสัมพันธ์ส่วนตัว การถือประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง
              1.ธรรมชาติของคนไทยในสังคม ธรรมชาติของคนไทยในแต่ละสังคมย่อมแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นฐานทางวัฒนธรรมและค่านิยมนั้นๆ ทำให้คนไทยส่วนใหญ่มีลักษณะบุคลิกภาพดังต่อไปนี้
              1.  ยึดมั่นในตัวบุคคลมากกว่าหลักการและเหตุผล
              2. ยกย่องบุคคลที่มีความรู้หรือได้รับการศึกษาสูง
              3. เคารพและคล้อยตามผู้ได้รับวัยวุฒิสูง
              4. ยกย่องผู้มีเงินและผู้มีอำนาจ
              5. นิยมการเล่นพรรคเล่นพวก
              6. มีลักษณะเฉื่อยชาไม่กระตือรือร้น
              ในการพัฒนาหลักสูตร ควรคำนึกถึงลักษณะธรรมชาติ บุคลิกของคนในสังคม โดยพิจารณาว่าลักษณะใดควรไม่ควร เพราะหลักสูตรเป็นแนวทางในการสร้างลักษณะสังคมในอนาคต
              1.การชี้นำสังคมในอนาคต การศึกษาควรมีบทบาทในการชี้นำสังคมในอนาคตด้วยเพราะในอดีตที่ผ่านมาระบบการศึกษา เช่น การตั้งรับตามการเปลี่ยนต่างๆ เช่น กระแสการเจริญเติบโตของประเทศทางตะวันตก กระแสวิชาการตะวันตก ความต้องการและปัญหาสังคม จึงทำให้การศึกษาเป็นตัวตาม ฉะนั้นการจัดการเรียนรู้ต้องวางเป้าหมายให้ดี นักพัฒนาหลักสูตรจึงควรศึกษาข้อมูลต่างๆ ที่เป็นเครื่องชี้นำสังคมในอนาคต เช่น แผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การศึกษาไทยจะได้มีบทบาททางสังคมอย่างแท้จริง
              1.ลักษณะสังคมตามความคาดหวัง การเตรียมพัฒนาทรัพยากรให้มีคุณภาพมีคุณลักษณะหรือคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นเป็นเรื่องไม่คงที่ เรื่องของประเทศจะส่งผลกระทบการศึกษามีมากมายเช่น การเมือง เศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางวิชาการทั้งนี้ในต่างประเทศจึงตั้งคุณลักษณะของสังคมเปลี่ยนแปลงไป เพื่อที่จะคาดการณ์ล่วงหน้าได้ในอนาคต 5-10 ปีข้างหน้าจะเป็นเช่นไร และคุณลักษณะของประชากรที่มีคุณภาพมีดังนี้
              1. มีสุขภาพกาย สุขภาพจิตที่ดี
              2. มีอาชีพเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว
              3. เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ
              4. มีสติปัญญา
              5. มีนิสัยรักการทำงาน
              6. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
              หน้าที่ของนักพัฒนาหลักสูตรก็คือ จะต้องพิจารณาว่าจะจัดหลักสูตรอย่างไร รูปแบบใดจึงจะทำให้ประชากรมีคุณภาพดี
              1.ศาสนาและวัฒนธรรมในสังคม  ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในสังคมวัฒนธรรมเป็นสัญลักษณ์อันสำคัญที่จะแสดงให้ทราบว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนในสังคมเดียวกันหรือเป็นคนชาติเดียวกัน  ดังนั้น ศาสนาและวัฒนธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการพัฒนาหลักสูตร ทั้งนี้เพราะจุดประสงค์สำคัญของหลักสูตรก็คือ การทะนุบำรุงรักษาและถ่ายทอดวัฒนธรรมที่ดีงามไว้ การพัฒนาหลักสูตรจึงต้องคำนึกถึงศาสนาและวัฒนธรรมความรู้หลักธรรมศาสนาต่างๆ นำมาบรรจุไว้ในหลักสูตรด้วยเหตุที่ว่าประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตยให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในการนับถือศาสนา เพราะฉะนั้นสิ่งที่บรรจุไว้ควรจะเป็นหลักธรรมของศาสนาต่างๆ
              ข้อมูลพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมมีความสำคัญต่อการพัฒนาหลักสูตรเป็นอย่างมาก  เพราะเป็นหลักสูตรที่ต้องตอบสนองสังคมและพัฒนาไปพร้อมกัน  การศึกษาข้อมูลพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างรอบคอบจะทำให้เราสามารถนำไปพัฒนาหลักสูตรที่ดีตามลักษณะดังต่อไปนี้
              1. ตอบสนองความต้องการของสังคม
              2. สอดคล้องกับความเป็นจริงในสังคม
              3. เน้นในเรื่องรักชาติรักประชาชน
              4. แก้ปัญหาให้กับสังคมมิใช่สร้างปัญหากับสังคม
              5. ปรับปรุงสังคมให้ดีขึ้น
              6. สร้างความสำนึกในเรื่องของความเปลี่ยนแปลงทางสังคม
              7. ชี้นำในเรื่องการเปลี่ยนแปลงประเพณีและค่านิยม
              8. ต้องถ่ายทอดวัฒนธรรมและจริยธรรม
              9. ปลูกฝังในเรื่องความซื่อสัตย์และความยุติธรรม ในสังคม
              10. ให้ความสำคัญในเรื่องผลประโยชน์ในสังคม

2.  ข้อมูลพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ
              การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ  เพราะการศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคนซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในระบบเศรษฐกิจ  เพราะระบบเศรษฐกิจก้าวหน้าเพียงใดขึ้นอยู่กับคุณภาพของคนในสังคมนั้น  การพัฒนาหลักสูตรให้ให้เหมาะกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ  ควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้
              2.การเตรียมกำลังคน การให้การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญในการผลิตกำลังคนในด้านต่างๆ ให้เพียงพอ พอเหมาะ และสอดคล้องกับความต้องการในแต่ละสาขาวิชาชีพ เพื่อป้องกันการสูญเปล่าทางการศึกษา และเพื่อลดปัญหาการว่างงานอันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ
              นอกจากนี้การเตรียมกำลังคนให้สนองความต้องการของประเทศนั้นต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับระดับความ สามารถที่ต้องการ  ซึ่งมีทั้งระดับผู้เชี่ยวชาญทางวิชาการสาขาต่างๆ ระดับช่างฝีมือ  และระดับกรรมกร รวมทั้งต้องพิจารณาถึงแนวโน้มความต้องการทางเศรษฐกิจของประเทศชาติในอนาคตด้วย
              2.การพัฒนาอาชีพ  ประเทศไทยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทางการเกษตร  และประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตรที่อาศัยอยู่ในชนบท   อาชีพอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและบริการมีอยู่เพียงชุมชนในเมือง  ปัจจุบันมีการโยกย้ายถิ่นที่อยู่เข้ามาทำงานอุตสาหกรรมในเมืองใหญ่  ซึ่งทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา   เช่นสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ  เกิดชุมชนแออัด ปัญหาครอบครัว  เด็กเร่ร่อน เป็นต้น เพราะฉะนั้นการพัฒนาหลักสูตรควรเน้นการส่งเสริมอาชีพส่วนใหญ่ของคนในประเทศ  จัดหลักสูตรเพื่อพัฒนาอาชีพตามศักยภาพและท้องถิ่น  เพื่อพัฒนาอาชีพให้เหมาะสมเป็นการยกระดับรายได้ คนในชนบทให้สูงขึ้น เพื่อลดปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน  ลดการหลั่งไหลของประชาชนเข้าไปทำงานตามเมืองใหญ่  สิ่งเหล่านั้นเป็นหน้าที่สำคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องร่วมมือร่วมใจกันทำหลักสูตรอาชีพเพื่อพัฒนาอาชีพให้บรรลุผล
              2.3  การขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรม   ปัจจุบันประเทศไทยกำลังพัฒนาจากเกษตรกรรมไปสู่ภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ นักพัฒนาหลักสูตรควรศึกษาข้อแนวโน้มและทิศทางการขยายตัวในอุตสาหกรรม   อุตสาหกรรมด้านไหนที่จะได้รับการพัฒนา  หลักสูตรที่สามารถพัฒนาเยาวชนให้มีความพร้อมสำหรับการขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรมสามารถผลิตผู้จบการศึกษาที่สามารถเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมอย่างเหมาะสม  เท่าที่ผ่านมาจะเห็นว่าบางครั้งภาคอุตสาหกรรมไม่มีผู้มีความรู้ความสามารถด้านเฉพาะด้านเข้า ไปรับรองการการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมบางครั้งมีการผลิตผู้จบการศึกษากับความต้องการของแรงงานของไทยไม่สมดุลกันทำให้บางครั้งภาคอุสาหกรรมเหล่านั้นอย่างพอเพียง  ฉะนั้นการศึกษาแนวโน้มการขยายตัวทางอุตสาหกรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่นักพัฒนาการหลักสูตรจะละเลยเสียมิได้
              2.การใช้ทรัพยากร เศรษฐกิจเป็นเรื่องของการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อสอบสนองความต้องการที่ไม่จำกัดของมนุษย์  เพราะฉะนั้นนักพัฒนาหลักสูตรควรให้ความสำคัญในเรื่องของทรัพยากรโดยใช้หลักสูตรเป็นเครื่องปลูกฝังเกี่ยวกับความสำคัญของทรัพยากร  จัดทำหลักสูตรเนื้อหาวิชา  กิจกรรมและประสบการณ์ในหลักสูตรที่ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด  และเน้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจครบวงจรอันได้แก่   การผลิต การจำหน่าย  การบริโภค  การแลกเปลี่ยนการบริการโดยเน้นการปฏิบัติจริงและการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้รู้จักและเข้าใจระบบเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ซึ่งในจุดนี้นักพัฒนาหลักสูตรควรให้ความสำคัญแล้วคิดพัฒนาหลักสูตรเพื่อสนองพระราชดำริดังกล่าว  ในอนาคตประชาชนจะเห็นความสำคัญของทรัพยากรและสามารถนำทรัพยากรที่มีอยู่นำมาใช้ประโยชน์  เกิดรายได้อย่างมีคุณค่า  ไม่มีการสูญเสียทางทรัพยากร ปัญหาความยากจนและการอพยพย้ายถิ่นก็ไม่เกิดขึ้น            
              2.5  การพัฒนาคุณลักษณะของบุคคลในระบบเศรษฐกิจของไทย  คุณลักษณะของในบุคคลในระบบเศรษฐกิจของคนไทยยังขัดแย้งกับความเป็นจริงในระบบเศรษฐกิจ  เช่นคนไทยมีรายได้ต่ำแต่ความต้องการจับจ่ายในระบบเศรษฐกิจในระบบเศรษฐกิจในระบบเปิดทำให้สินค้าฟุ่มเฟือยหลั่งไหลเกิดปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว หรือเป็นเศรษฐกิจในระบบเปิดทำให้สินค้าฟุ่มเฟือยหลั่งไหลเข้ามาสร้างวัฒนธรรมใหม่ในหมู่เยาวชน  หรือการเอารัดเอาเปรียบต่อผู้ด้อยการศึกษาจากบุคคลผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นคุณลักษณะของคนไทยในระบบเศรษฐกิจที่ต้องได้รับการแก้ไขและพัฒนา  การใช้การศึกษาเข้าไปแก้ไขจะเป็นวิธีการสำคัญและให้ผลในระยะยาว  เพราะฉะนั้นการพัฒนาหลักสูตรต้องคำนึงถึงการพัฒนาคุณลักษณะของคนไทย  ในหลักสูตรจะต้องบรรจุเนื้อหาสาระ และประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีการปลูกฝังจิตสำนึกในความรับผิดชอบร่วมกัน  การสร้างค่านิยมในการทำงานร่วมกัน  การไม่เอารัดเอาเปรียบกันความขยันหมั่นเพียร  การรู้จักอดออม  การมีสติรู้คิด  การมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์  การสร้างเสริมความสามารถในการผลิต  การสร้างงานและแนวการประกอบอาชีพ  ถ้าหลักสูตรในระดับต่างๆ ได้บรรจุและปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ไว้ทั้งในแนวกว้างและแนวลึกตามระดับการศึกษาแล้วผู้จบการศึกษาก็จะเป็นบุคคลมีความสามารถพัฒนาตนเองให้มีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจภายใต้ความเจริญทางด้านเศรษฐกิจได้เหมาะสม
              2.การลงทุนการศึกษา  การจัดการศึกษาในระดับต้องใช้งบประมาณของรัฐโดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐาน  การจัดการศึกษาควรคำนึงถึงงบประมาณเพื่อการศึกษาแหล่งงานที่จะช่วยเหลือรัฐในรูปงบประมาณ  ในการพัฒนาพัฒนาหลักสูตรควรจัดให้สอดคล้องกับงบประมาณของรัฐ  ไม่ว่าในด้านจัดการเรียนการสอน  ด้านวัตถุอุปกรณ์  เพื่อให้มีการใช้หลักสูตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  และต้องคำนึงถึงผลตอบแทนจากการลงทุน ในด้านกำลังคนปริมาณคน และคุณภาพ เช่น การพัฒนาหลักสูตรให้เยาวชนมีคาวามสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์  การลงทุนด้านอุปกรณ์คือคอมพิวเตอร์  ให้ทุกโรงเรียนมีคอมพิวเตอร์สอนนักเรียน  แต่บางโรงเรียนไม่มีไฟฟ้า  หรือบางโรงเรียนยังไม่มีบุคลากรที่มีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์  การลงทุนในจุดดังกล่าวส่วนหนึ่งอาจเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า เฉพาะฉะนั้นในการพัฒนาหลักสูตรควรคำนึงถึงการลงทุนทางการศึกษาด้วยว่าเป็นการลงทุนที่สูญเปล่าหรือไม่ ในอนาคตมีตัวอย่างในการพัฒนาหลักสูตรที่ทำให้เกิดการสูตรเปล่าทางการศึกษาอยู่เสมอ

3.  ข้อมูลพื้นฐานทางด้านการเมืองการปกครอง
              การเมืองการปกครองเป็นที่เกี่ยวกับการจัดระเบียบการอยู่ร่วมกันในสังคมหมู่มากจำเป็นต้องมีระเบียบแบบแผนหรือกติกาต่างๆ  สำหรับสมาชิกในสังคมยึดถือเป็นแนวปฏิบัติต่อกันเพื่อความสงบเรียบร้อยและการอยู่รวมกันอย่างสันติ  ดังนั้น การเมืองการปกครองจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับบทบาท  หน้าที่สิทธิ และความรับผิดชอบที่ทุกคนพึงมีต่อสังคมและประเทศชาติ    
              การเมืองการปกครองมีความสัมพันธ์กับการศึกษา  ในฐานะที่การศึกษามีหน้าที่ผลิตสมาชิกที่ดีให้แก่สังคมให้อยู่ในระบบการปกครองประเทศชาติ  ช่วยให้ผู้เรียนทราบว่าตนมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างไร  และควรแสดงแนวคิดปฏิบัติตนอย่างไรหลักสูตรของประเทศต่างๆ จึงควรบรรจุเนื้อหาวิชาและประสบการที่จะปลูกฝังให้ประชากรอยู่ร่วมกันในสังคมได้ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสันติสุข
              ข้อมูลที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง  ที่ควรจะนำมาเป็นเนื้อหาประกอบการพิจารณาในการพัฒนาหลักสูตรก็คือ  ระบบการเมืองและระบบการปกครอง  นโยบายของรัฐและรากฐาน ของประชาธิปไตย
              3.1ระบบการเมืองการปกครอง   เนื่องจากการศึกษาเป็นเครื่องมืออันหนึ่งของสังคม  ดังนั้น การศึกษาระบบการเมืองการปกครองจึงแยกกันไม่ออก  หลักสูตรของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับประถมศึกษาซึ่งเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานมักจะบรรจุเนื้อหาสาระของระบบการเมืองการปกครองไว้  เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนอยู่ร่วมกันใจสังคมได้ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย  ในบางประเทศที่ต้องการปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองให้แก่ประชาชน  เพราะฉะนั้นในการพัฒนาหลักสูตรควรเลือกเนื้อหาวิชาประสบการณ์การเรียนรู้  และการจัดให้มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองที่ต้องการปลูกฝัง
              3.นโยบายของรัฐ   เนื่องจากการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคมจึงมีความจำเป็นต้องสอดคล้องกับระบบอื่นๆ  ในสังคมการที่จะทำให้ระบบต่างๆ สามารถเกื้อหนุนส่งเสริมซึ่งกันและกันจึงจำเป็นต้องมีการประสานสัมพันธ์ระหว่างระบบเหล่านั้น  ด้วยเหตุนี้รัฐบายจึงมีนโยบายแห่งรัฐเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานของระบบต่างๆ  ให้มีความต่อเนื่องและสอดคล้องซึ่งกันและกัน นโยบายของรัฐที่เห็นได้ชัดเจนคือ  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนพัฒนาการศึกษา ในการพัฒนาหลักสูตรควรจะได้พิจารณานโยบายของรัฐด้วย  เพื่อที่จะได้จัดการศึกษาให้สอดคล้องกัน
              3.รากฐานของประชาธิปไตย จากการที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์มาเป็นระบบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ. 2475 นั้น ควรรู้ความเข้าใจตลอดจนความรู้สึกนึกคิดต่างๆ เกี่ยวกับประชาธิปไตยในสังคมไทยยังไม่เพียงพอ หลักสูตรในฐานะที่เป็นเครื่องมือสำหรับพัฒนาคนควรที่จะวางรากฐานที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยให้แก่สังคม เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้องซึ่งจะสร้างสรรค์ให้ทุกคนอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข และไม่มีการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน  นอกจากนี้การจัดการเรียนการสอน  จึงควรมุ่งเน้นพฤติกรรมประชาธิปไตยด้วย สำหรับประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมานานแล้ว  แต่ทางปฏิบัติเราต้องยอมรับว่ายังไม่สมบูรณ์  ดังจะเห็นได้จากการราษฎรส่วนใหญ่ยังไม่รู้ถึงสิทธิหน้าที่ของตนต่อรัฐ ไม่รู้ว่าตนเองมีความสำคัญมีส่วนมีเสียงในการปกครอง  ไม่รู้ว่าการเมืองมีส่วนสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของตน ไม่เห็นความจำเป็นในการเลือกตั้งเป็นต้น  การศึกษาควรมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงแก้ไข  การจัดการเรียนการสอนควรเน้นเรื่องความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง  ให้ประชาชนรู้หน้าที่ของตนในระบอบประชาธิปไตย  ให้สำนึกว่าการเมืองและการปกครองเป็นเรื่องของทุกคนในสังคม ทั้งที่ศึกษาอยู่ในระบบและนอกระบบ และ/ หรือจบการศึกษาแล้วได้ศึกษาและนำไปปฏิบัติจริงเพื่อสอดคล้องกับนโยบายที่ว่าการศึกษาและ/ หรือจบการศึกษาแล้วได้ศึกษาคือ กระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวิต  เมื่อเป็นเช่นการจัดหลักสูตรให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองจึงกระทำได้หลายรูปแบบเพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้ มีจิตสำนึกในความร่วมมือ  เข้าใจบทบาทตนเองในด้านการเมืองการปกครองอย่างแท้จริง
              เพื่อเป็นการวางรากฐานทางด้านประชาธิปไตย  การจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย  ควรจัดตามลำดับดังนี้
              1. การจัดการศึกษาให้เท่าเทียมทั่วถึง
              2. ให้อำนาจการจัดการศึกษากระจายในท้องถิ่น
              3. ให้เสรีภาพและเสถียรภาพแก่บุคคล ให้โอกาสแสดงความคิดเห็น
              4. การเรียนการสอนควรส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย ให้โอกาสผู้เรียนแสวงหาความรู้
              5. ส่งเสริมการแก้ไขปัญหาตนเอง
              6. จัดหลักสูตรให้ยืดหยุ่นได้ง่าย
              7. เน้นวิชามนุษย์สัมพันธ์และจริยธรรมเป็นพิเศษ
              นอกจากนั้นการปลูกฝังอบรมสั่งสอนนักเรียน ก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ประชาธิปไตยของไทยมีความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นด้วยวิธีการดังนี้
              1. ชี้ให้เห็นประโยชน์ประชาธิปไตยโดยการให้คำแนะนำและปฏิบัติ
              2. สร้างนิสัยให้มีความกระตือรือร้น สนใจเหตุการณ์บ้านเมือง
              3. ปลูกฝังการมีวินัยและการเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
              4. ฝึกการเคารพกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างเข้มผู้เข้มงวด
              5. กระตุ้นและปลูกฝังให้มีความตั้งใจเรียน ซื่อสัตย์ รับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัวและประเทศชาติ
              6. ฝึกให้ความสนใจและร่วมกันพิจารณาปัญหาต่าง ของสังคมและหาทางแก้ไข
              7. หาโอกาสให้ให้ความร่วมมือประกอบกิจกรรมเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม
              8. ช่วยแก้ไขค่านิยมที่ไม่เหมาะสมในสังคมและสร้างค่านิยมที่ดีและเหมาะสม
              9. ปลูกฝังทัศนคติที่ว่าการเมืองเป็นเรื่องการให้ความร่วมมือ การเสียสละ และการช่วยชาติเพื่อบุคคลรุ่นใหม่จะได้เป็นนักการเรียนที่ดี
              10. ให้ความรู้และกระตุ้นให้สนใจการเมืองโดยคำนึงถึงหลักการ วิธีการ สิทธิหน้าที่ในฐานะพลเมืองของประเทศ
              11. ปลูกฝังให้มีความพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองทั้งในระดับโรงเรียน ท้องถิ่น และประเทศชาติ
              12. ปลูกฝังให้ผู้เรียนมีแนวคิดว่าทุกคนควรมีบทบาททางการเมือง และการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคนทั้งทางตรงและทางอ้อม
              13. เน้นให้เห็นความสำคัญของการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
              จากตัวอย่างดังกล่าวพอจะเป็นแนวทางกำหนดเนื้อหา  กิจกรรมการจัดการเรียนการสอนและประสบการณ์เรียนรู้ไว้เป็นหลักสูตร  เพื่อให้ผู้เรียนที่จบการศึกษาเป็นผลเมืองที่มีคุณภาพสอดคล้องกับระบบการเมืองการปกครองของประเทศ

4.  ข้อมูลพื้นฐานสภาพปัญหา และแนวทางการแก้ปัญหาในสังคม
              สภาพปัญหาและแนวทางในการแก้ปัญหาของสังคมเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญที่ต้องศึกษา  สังคมไทยปัจจุบันกำลังประสบปัญหายุ่งยากหลายประการ  ทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม  ปัญหาเศรษฐกิจ  และปัญหาการเมือง  ซึ่งการแก้ปัญหาเหล่านี้มีทั้งระยะสั้นระยะยาว  และการแก้ปัญหาอาจทำได้ชั่วคราวหรืออย่างถาวร  การจัดการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องศึกษา   แล้วนำมาสร้างเป็นหลักสูตร  ปัญหาสำคัญๆ  ที่ควรศึกษาคือ
              4.ปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ  การขยายตัวของอุตสาหกรรม  และการใช้เทคโนโลยี  ทำให้เกิดปัญหาสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติในสังคมไทยมากขึ้น เช่น  ปัญหาการทำลายป่าไม้  ปัญหาความเสื่อมโทรมของดิน  ปัญหาน้ำเสีย  และอากาศเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม  เป็นต้น  ปัญหาต่างๆ  สมควรที่จะได้ศึกษาข้อเท็จจริงถึงสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขเพื่อที่นำไปเป็นข้อมูลในการจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตร  เช่น การกำหนดเนื้อหาในเรื่องสภาพแวดล้อม การปลูกฝังการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี  และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  การใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ฉลาดถูกต้อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราสามารถกำหนดลงในเนื้อหาของหลักสูตรในระดับต่างๆ ตามความเหมาะสม  เพื่อที่ปลูกฝังความรับผิดชอบในสิ่งเหล่านี้ให้เกิดในผู้เรียน  และประเทศก็จะมีพลเมืองที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศ  ปัญหาเกี่ยวสิ่งแวดล้อมในอนาคตก็จะได้รับการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
              4.ปัญหาทางด้านสังคม   ปัญหาทางสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  มักจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสังคม  ซึ่งมีสาเหตุจากความเจริญทางด้านวัตถุและวัฒนธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยอิทธิพลของการสื่อสาร  ทำให้คนไทยรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาโดยเฉพาะในหนุ่มสาวหรือเยาวชน  ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางด้านความคิดระหว่างคนหนุ่มสาวกับผู้ใหญ่ที่ยึดมั่นในวัฒนธรรมเดิม  ทำให้เกิดปัญหากับยาเสพติด  ปัญหาทางเพศ  ปัญหาทางอาชญากรรม ซึ่งการศึกษาปัญหาเหล่านี้จะเป็นข้อมูลในการจัดหลักสูตรเพื่อเตรียมเยาวชนสามารถดำรงอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีความสุขและไม่เกิดปัญหา
              4.ปัญหาด้านเศรษฐกิจ โดยพื้นฐานนั้นประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพื้นฐานดั้งเดิมจากเกษตรกรรม  ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีพื้นฐานอยากจนและมีการศึกษาต่ำ  ประชาชนเกิดการว่างงาน การย้ายถิ่นทำกินชนบทเข้าสู่เมือง  หรืออัตราค่าจ้างแรงงานต่ำ  สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจยาวนานของประเทศ   ประกอบกับในปัจจุบันประเทศต่างๆ ประสบกับภาวะปัญหาทางด้านเศรษฐกิจของโลกทั้งประเทศไทยด้วย  ทำให้ปัญหาทางเศรษฐกิจในอดีต ปัจจุบัน  และแนวโน้มปัญหาที่เกิดในอนาคต  เพื่อจะให้นำข้อมูลทางเศรษฐกิจของประเทศ  โดยกำหนดจุดหมายของหลักสูตร  การสร้างหลักสูตรหลายวิชา  หรือการบรรจุเนื้อหาสาระให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถและประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ ทำให้ผู้ที่จบการศึกษาในระดับต่างๆ สามารถออกไปประกอบอาชีพได้  และสามารถดำรงอยู่ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ  โดยไม่เป็นปัญหาหรือภาระของสังคม  หรือจัดการศึกษาเพื่อให้บุคคลสามารถสร้างงานได้
              4.ปัญหาทางด้านการเมืองการปกครอง  สภาพปัญหาทางด้านการเมืองของไทยเป็นมาอย่างยาวนาน   สมควรที่การศึกษาจะเข้าไปมีบทบาทในการพัฒนาด้านการเมือง คือการให้ความรู้และปลูกฝังในเรื่องของประชาธิปไตย  เพราะประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนในท้องถิ่นชนบทมีความรู้เข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยไม่ดีพอ  นอกจากนั้นประชาชนส่วนใหญ่ ยังขาดความสำนึกและความรับผิดชอบต่อวิถีทางแบบประชาธิปไตย  ซึ่งจะเห็นได้จากการเข้ามีบทบาททางการเมืองยังเป็นเรื่องของคนกลุ่มน้อย   หรือจำนวนผู้ไปใช้เสียงในการเลือกตั้งแต่ละครั้งมีจำนวนน้อยมากเมื่อเปรียบกับผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งทั้งหมด  แม้ว่านักศึกษามีอายุที่จะใช้สิทธิ์เลือกตั้งได้แล้วแต่อัตราส่วนผู้ใช้สิทธิ์ยังน้อยเหมือนเดิม  ในเมื่อผู้ได้รับการศึกษาที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยเป็นอย่างดี  ยังขาดความสำนึกความรับผิดชอบเช่นนี้  นักพัฒนาหลักสูตรจึงควรที่จะได้ตระหนักและพัฒนาหลักสูตร  เนื้อหาวิชาหรือกิจกรรมการเรียนการสอนให้สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีจิตสำนึก  และความรู้สึงรับผิดชอบต่อการปกครองของประเทศ
              จากสภาพปัญหาต่างๆ  ที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างที่นักพัฒนาหลักสูตรจะตั้งคำนึงถึง ทั้งนี้เพื่อให้หลักสูตรที่ร่างขึ้นมามีส่วนแก้ปัญหาสังคมและประเทศชาติโดยส่วนรวมบางปัญหาอาจแก้ได้โดยตรง  บางปัญหาการศึกษาแก้ไขโดยทางอ้อม  ซึ่งเป็นหน้าที่ของนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องพิจารณาปัญหาเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเลือกทิศทางในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อสร้างคนที่เป็นประโยชน์แก่สังคม   หรือคนที่จะไปพัฒนาหรือแก้ปัญหาสังคมต่อไป
              ขั้นตอนในการพิจารณาปัญหาและแนวทางแก้ไขมีดังนี้
                   1. พิจารณาปัญหาที่ระบบการศึกษาเอื้ออำนวยในการปรับปรุงให้ดีขึ้น
                   2. พิจารณาสาเหตุ ข้อเท็จจริงสภาพปัญหา
                   3. พิจารณาวิชา เนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสม
                   4. พิจารณากิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสม

5.  ข้อมูลพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
              ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไป  ผู้เรียนเกิดความจำเป็นต้องเพิ่มความรู้ใหม่   ทักษะใหม่  และต้องเปลี่ยนแปลงเจตคติใหม่  ทำให้เกิดความจำเป็นจะต้องสร้างคุณธรรมและความคิดใหม่เพื่อให้คนในสังคมสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้  โดยใช้การศึกษาทำหน้าที่สร้างประชาชนที่มีคุณภาพและมีความสามารถปรับตัวให้กับความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม  หลักสูตรที่นำมาใช้จำเป็นต้องมีความสอดคล้องกับความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ปัจจุบันประเทศไทยได้นำเอาความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ในสังคมอย่างกว้างขวางในทุกๆ ด้าน ทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อมดังนั้น  การจัดการศึกษาจึงควรจะให้ประชาชนตระหนักถึงสภาพข้อเท็จจริงต่างๆ  ที่เป็นผลกระทบจากความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมทั้งให้เขาได้รับข้อมูลต่างๆ อย่างเพียงพอ เพื่อให้เขาสามารถเลือกตัดสินใจใช้วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ดังนั้น นักพัฒนาหลักสูตรต้องศึกษาข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งในปัจจุบันและแนวโน้มความเจริญในอนาคต เพื่อที่จะได้พัฒนาหลักสูตรเพื่อพัฒนาคนให้สามารถดำรงตนอยู่ได้อย่างเหมาะสมในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
              นอกจากจะพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว ความเจริญทางด้านนี้ยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องเนื้อหาของหลักสูตรและการเรียนการสอน เช่น อุปกรณ์สอนใหม่ๆ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ คอมพิวเตอร์ วิทยุ โทรทัศน์ เครื่องบันทึกเสียง วีดีทัศน์ ไมโครฟิล์ม โพรเจกเตอร์ วิธีการสอนแบบใหม่ๆ ซึ่งใช้เครื่องมือต่างๆ ช่วย เช่น วิทยุการศึกษา โทรทัศน์การศึกษา  การศึกษาทางไกล การสอนแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นต้น
              วัสดุอุปกรณ์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ และวิธีการสอนใหม่ที่อาศัยความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเหล่านี้  สามารถช่วยให้จัดการศึกษามีประสิทธิภาพสูงกว่าการสอนในอดีต ผู้พัฒนาหลักสูตรจึงมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความก้าวหน้าในเรื่องดังกล่าวนำมาพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมด้วย

6. ข้อมูลพื้นฐานทางสภาพทางสังคมในอนาคต
              จากสภาพการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยในปัจจุบัน ชี้ให้เห็นว่าในอนาคตประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่หลากหลายสาขา จากสภาพการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีผลทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปดังนี้
              1. มีการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดย่อม รวมทั้งอุตสาหกรรมท้องถิ่นเพิ่มขึ้น
              2. งานอาชีพอิสระมีแนวโน้มจะมีความสำเร็จมากขึ้นในอนาคตทั้งนี้เนื่องจากลักษณะการผลิตอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มักเป็นการผลิตใช้ทุนมากกว่าใช้แรงงาน
              3. ในอนาคตสภาพสังคมจะมีการแข่งขันและต่อสู้เพื่ออยู่รอดเฉพาะตัวเพราะที่ดินทำกินไม่สามารถขยายเพิ่มให้สมดุลกับประชากรได้ ทำให้เกิดการเข้ามาทำงานในเมืองมากขึ้น และภาคอุตสาหกรรมก็ไม่สามารถรองรับแรงงานได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นการแข่งขันเพื่อความอยู่รอดมีมากขึ้น
              4. การประพฤติปฏิบัติของคนไทยจะเปลี่ยนไปจากวัฒนธรรมดั้งเดิมซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความเจริญด้านเทคโนโลยีและการหลั่งไหลเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งมีผลกระทบต่อคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และสิ่งแวดล้อมของสังคมไทย
              5. ในอนาคตคาดว่าการดำเนินชีวิตของคนไทยประสบกับปัญหา ทั้งในด้านสุขภาพและ                การประกอบอาชีพมากขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและการเพิ่มของประชากร
              จากสภาพการเปลี่ยนแปลงในลักษณะต่างๆ ดังกล่าวแล้ว หลักสูตรในอนาคตต้องมีบทบาทดังต่อไปนี้
              1. เตรียมกำลังคนให้เหมาะสมกับงานด้านอุตสาหกรรมขนาดย่อย และอุตสาหกรรมท้องถิ่น โดยเตรียมกำลังคนที่มีคุณภาพทางด้านความรู้ทักษะ และลักษณะนิสัย ตลอดจนเจตคติที่ดีต่อการทำงานอาชีพ
              2. ส่งเสริมอาชีพอิสระและเตรียมคนให้เห็นช่องทางในการประกอบอาชีพอิสระมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการว่างงานของประชาชนส่วนหนึ่ง
              3. การศึกษาในอนาคตควรเน้นไปที่การสร้างค่านิยมด้านความสามัคคีในการอยู่ร่วมกัน โดยให้ทุกคนรู้จักเสียสละ มุ่งทำประโยชน์ให้แก่สังคมเป็นส่วนใหญ่ และหาจุดยืนที่เป็นที่ยอมรับ
              4. เตรียมคนให้เห็นคุณค่าของการดำรงรักษาวัฒนธรรมไทย รู้จักผสมผสานวัฒนธรรมดั่งเดิมกับวัฒนธรรมใหม่ เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติตน มุ่งพัฒนาตนเองและสร้างสรรค์ความเจริญทางสังคม ตลอดจนมุ่งพัฒนาจิตใจให้ยึดมั่นในศาสนาและหลักธรรม มีคุณธรรมจริยธรรมอันจะนำไปสู่การมีชีวิตที่สงบสุข
              5. เตรียมฝึกคนให้สามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพและปัญหาต่างๆ ในการดำรงชีวิตพร้อมทั้งสามารถเลือกแนวทางในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

7. ข้อมูลพื้นฐานจากนักวิชาการจากสาขาต่างๆ
              ข้อมูลพื้นฐานจากนักวิชาการในวิชาสาขาต่างๆ เป็นข้อมูลสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ข้อมูลในการพัฒนาหลักสูตรสามารถคลอบคลุมความต้องการจำเป็นในการพัฒนาหลักสูตรได้อย่างกว้างขวาง ข้อมูลดังกล่าวได้แก่ ข้อมูลจากนักวิชาการในวิชาสาขาต่างๆ นักการศึกษา หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ผลผลิตของการจัดการศึกษา คือสถานประกอบการที่จบการศึกษาเข้าไปสู่ หรืออาจจะเรียกข้อมูลจากสถานประกอบหรือตลาดแรงงานเป็นต้น
              7.ข้อมูลจากนักวิชาการ นักวิชาการแต่ละสาขาที่มีความรู้ ความสามารถความชำนาญเฉพาะทางย่อมรู้ทฤษฎีหลักธรรมชาติโครงสร้าง และระดับความยากง่ายของความรู้แต่ละศาสตร์ของตนเป็นอย่างดี คณะพัฒนาหลักสูตรต้องปรึกษาและร่วมมือกับนักวิชาการเหล่านี้เกี่ยวกับการกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ในแต่ละสาขาวิชา ในการกำหนดเนื้อหาวิชา ความกว้าง ความลึก และความต่อเนื่องสัมพันธ์เนื้อหาในเรื่องการปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตรของไทยยังขาดข้อมูลด้านนี้มาก ทำให้เกิดการสูญเปล่าทางการศึกษานักวิชาการสาขาต่างๆ จึงน่าจะมีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตรโดยร่วมเป็นคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรในแต่ละสาขา เพื่อสร้างหลักสูตรที่สมเหตุสมผลและสมจริงทางวิชาการ
              7.2 ข้อมูลจากสถานประกอบการ เป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรไม่สมควรมองข้าม เพราะหลักสูตรจะต้องผลิตคนสู่สถานประกอบการต่างๆ ในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาหลักสูตรในระดับอาชีวศึกษา ความต้องการของสถานประกอบการเป็นข้อมูลสำคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรควรนำไปพิจารณา เพื่อจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนให้ผู้จบหลักสูตรสามารถเข้าไปสู่สถานประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

8. ข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวกับโรงเรียน ชุมชนหรือสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่
              ข้อมูลที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ควรศึกษาวิเคราะห์ คือข้อมูลที่เกี่ยวกับสภาพทั่วไปของโรงเรียน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนครูในโรงเรียน จำนวนอาคารสถานที่หรือห้องเรียนจำนวนอุปกรณ์และศักยภาพของโรงเรียนมากที่สุด นอกจากนี้ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนและสภาพสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่ก็เป็นข้อมูลที่ผู้จัดทำหลักสูตรหรือพัฒนาหลักสูตรจะต้องศึกษา เช่น สภาพแวดล้อมและสภาพภูมิศาสตร์ที่ตั้ง หรือสังคมโดยทั่วไปของผู้ใช้หลักสูตรหรือโรงเรียนนั้นเป็นอย่างไร การสนับสนุนหรือความร่วมมือของชุมชนสังคมที่มีต่อโรงเรียนเป็นอย่างไร ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการจัดทำหลักสูตร เช่น การกำหนดวิชาเรียนต่างๆ เพราะบางรายวิชาสภาพชุมชนและสังคมไม่สามารถเอื้ออำนวยหรือส่งเสริมเท่าที่ควร การศึกษาก็ไม่บรรลุผล เพราะฉะนั้นการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียน ชุมชน และสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้จัดทำหลักสูตรต้องศึกษา เพื่อให้ได้ข้อมูลมาจัดทำหลักสูตรที่โรงเรียนต่างๆ สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งข้อมูลต่างๆ เหล่านี้สามารถค้นคว้าและหาข้อมูลได้จากเอกสารในการรายงานต่างๆ การสำรวจ สอบถาม และการสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ ตลอดจนข้อมูลเกี่ยวข้อง เช่น คนในชุมชน ผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ผู้ที่สำเร็จการศึกษา ซึ่งการศึกษาข้อมูลดังกล่าวจำเป็นสำหรับการพัฒนาหลักสูตรทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เพื่อให้ได้หลักสูตรที่ทุกโรงเรียนสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะหลักสูตรระดับท้องถิ่นข้อมูลดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่ง ผู้พัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่นจะต้องให้ความสำคัญเพื่อที่จะเสริมสร้างได้หลักสูตรที่เหมาะสมและตอบสนองต่อท้องถิ่นนั้นๆ ได้อย่างเต็มที่

9. ข้อมูลพื้นฐานทางประวัติศาสตร์และการศึกษาหลักสูตรเดิม
              ประวัติศาสตร์มีความสำคัญต่อชีวิตและการกระทำในปัจจุบัน ดังคำกล่าวที่ว่า ปัจจุบันผลของอดีตและอนาคตเป็นผลปัจจุบัน เพราะฉะนั้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ และการศึกษาหลักสูตรในอดีตย่อมมีประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาและการจัดทำหลักสูตรในปัจจุบัน การศึกษาไทยกับประวัติศาสตร์ไทยมีความผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น เพราะเหตุการณ์ในชาติย่อมมีผลกระทบต่อการศึกษาเสมอ นักการศึกษาและนักพัฒนาหลักสูตรจึงจำเป็นต้องมีความรู้หรือข้อมูลศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติ รวมทั้งประวัติศาสตร์ควบคู่กันไป เพราะเราต้องอาศัยพื้นฐานทางประวัติศาสตร์มาช่วยในการจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรในปัจจุบัน การศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์จะทำให้เราเห็นภาพรวมความเจริญของชาติทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม การเมือง และวัฒนธรรมในอดีตที่ผ่านมา รวมทั้งผลกระทบที่มีต่อการศึกษา ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้นักพัฒนาหลักสูตรต้องวิเคราะห์ว่าการจัดการศึกษาหรือการจัดหลักสูตรอย่างนั้นในสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในขณะนั้นมีความถูกต้องและเหมาะสมมากน้อยเพียงใด ส่วนใดเป็นลักษณะของการจัดการศึกษาหรือจัดหลักสูตรที่ดี ส่วนใดเป็นลักษณะการจัดทำหลักสูตรที่ผิดพลาดแก่ผู้จัดทำหลักสูตร การวิเคราะห์อดีตจะช่วยเพิ่มพูนความสามารถในการวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน
              การที่ต้องมีการวิเคราะห์หลักสูตรเก่าเนื่องจากในการพัฒนาหลักสูตรนั้น  เราตั้งต้นจากสิ่งที่เรามีอยู่หรือใช้อยู่ จุดประสงค์ของการวิเคราะห์ก็เพื่อตรวจสอบหลักสูตรที่ใช้อยู่นั้นดีหรือไม่อย่างไร อะไรที่ดีอยู่แล้ว มีอะไรที่บกพร่อง ล้าสมัย หรือไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป จุดเด่น จุดด้อย ข้อดี ข้อบกพร่องขององค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรทั้งในแง่ของประสิทธิภาพของการนำไปใช้ รวมทั้งความพึงพอใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลในอดีตที่มีคุณค่าแก่การจัดทำหรือพัฒนาหลักสูตรปัจจุบัน ในการศึกษาประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์การศึกษาควบคู่กันไปนั้น  ธำรง  บัวศรี (2532:128) ได้แสดงความคิดเห็นว่า หากลองตั้งคำถามต่างๆ แล้วลองพิจารณาหาคำตอบจะช่วยให้เห็นความเหมาะสมของการจัดการศึกษาในขณะนั้น ตัวอย่างคำถาม  เช่น ปัญหาเศรษฐกิจสังคม และการเมืองในขณะนั้นเป็นอย่างไร การจัดการศึกษามีจุดมุ่งหมายจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวหรือไม่ วิธีการที่ช่วยแก้ไขปัญหาช่วยได้หรือไม่ การจัดการศึกษามีส่วนช่วยให้ยกระดับเศรษฐกิจหรือทำให้ระบบสังคมดีขึ้นหรือไม่ มีสิ่งชี้บอกใดหรือไม่ ที่แสดงว่าหลักสูตรได้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลหรือพัฒนาการของผู้เรียน หลักสูตรได้ส่งเสริมการถ่ายทอดวัฒนธรรมหรือปรับปรุงวัฒนธรรมอย่างไร หลักสูตรมีการส่งเสริมจิตสำนึกในการช่วยตนเองหรือไม่  เพราะฉะนั้นถ้านักพัฒนาหลักสูตรได้ศึกษาประวัติศาสตร์ และนำประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์หาคำตอบจากคำถามเหล่านี้หรือคำถามอื่นที่มีประโยชน์เหมาะสมที่จะช่วยให้ได้คำตอบที่เป็นประโยชน์และเป็นข้อมูลในการจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น